นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้สำรวจความเห็นผู้บริหารส.อ.ท. จาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หัวข้อวิกฤติค่าไฟฟ้าแพง กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน เป็นผลจากจากมติสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 65 มาอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟเฉลี่ยที่ต้องจ่ายรวมอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18% พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มีความกังวลว่า การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงเกินไปในครั้งเดียว จะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนและต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ในส่วนของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะถูกส่งต่อไปที่ราคาสินค้าและวัตถุดิบตามต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับประเทศเวียดนาม ที่ดำเนินนโยบายในการคงอัตราค่าไฟฟ้าที่ 2.80 บาทต่อหน่วย ตลอดปี 65 โดยผลสำรวจพบว่า ภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีต้นทุนจากค่าไฟฟ้า คิดเป็น 10-30% จากต้นทุนการผลิตทั้งหมด ดังนั้น การขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. 65 ในอัตราที่สูงทันที จะทำให้ผู้ประกอบการต้องมีความจำเป็นจะต้องปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 10% ภายในปลายปีนี้
คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ส่วนมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ภาครัฐควรพิจารณาทยอยปรับขึ้นค่าเอฟที โดยให้ค่าไฟฟ้ารวมเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5% ต่องวด หรืองวดละ 4 เดือน ควบคู่ไปกับการออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เช่น การลดค่าไฟฟ้า เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าไฟฟ้า ที่คาดว่า จะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงปี 66 จากแนวโน้มราคาเชื้อเพลิงที่นำมาผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในระดับสูงภาระที่ กฟผ. ได้แบกรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิง ตั้งแต่เดือน ก.ย. 64-เม.ยคำพูดจาก คาสิโนออนไลน์. 65 กว่า 83,010 ล้านบาท จะต้องทยอยส่งต่อต้นทุนดังกล่าวมายังผู้ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งแนวโน้มค่าเงินบาทที่ยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง
สำหรับการแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพงในระยะยาว ผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่ เสนอให้ภาครัฐควรมีการทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย มีการส่งเสริมและปรับลดขั้นตอนให้เอกชนสามารถลงทุนโรงไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี รวมถึงมีการปรับลดขั้นตอนในการขออนุมัติอนุญาตใช้อุปกรณ์พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจและเอกชนให้สะดวกรวดเร็วและต้นทุนต่ำ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาพลังงานได้ในระยะยาว และยังช่วยแบ่งเบาภาระจากภาครัฐในการบริหารจัดการด้านพลังงาน
อย่างไรก็ตามในส่วนของภาคอุตสาหกรรมเอง ผู้บริหาร ส.อ.ท.แนะนำว่า ควรเตรียมความพร้อมรับมือกับภาระต้นทุนค่าไฟฟ้าที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงนี้ เช่น ลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้ภายในโรงงาน เช่น ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป, มีปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนพลังงาน รวมทั้งนำระบบการบริหารจัดการพลังงาน มาใช้ และปรับปรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ